ประวัติทีมเชลซี สิงโตน้ำเงินครามแห่งลอนดอน

ยอดทีมชื่อดังแห่งเกาะอังกฤษ คือหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดใน พรีเมียร์ลีก และวงการลูกหนังยุคปัจจุบันไปแล้ว มาย้อนดู ประวัติทีมเชลซี ว่าพวกเขามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
ประวัติความเป็นมาทีมเชลซี

นับตั้งแต่ ‘เสี่ยหมี’ หรือ ‘โรมัน อบราโมวิช’ มหาเศรษฐีชาวรัสเซียตัดสินใจเทคโอเวอร์สโมสร นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดของทีมเลยก็ว่าได้เพราะการเข้ามาของชายผู้นี้ส่งผลให้เชลซีก้าวขึ้นมาครองความยิ่งใหญ่ของวงการลูกหนังได้สำเร็จ มาย้อนดู ประวัติทีมเชลซีกัน
ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ‘สิงโตน้ำเงินคราม’ เดินหน้าคว้าแชมป์รายการใหญ่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ไล่ตั้งแต่แชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษอย่าง ‘พรีเมียร์ลีก’ ไปจนถึงแชมป์ระดับทวีปยุโรปอย่าง ‘ยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีก’ ที่พวกเขาคว้ามาครองเป็นครั้งแรกของสโมสรได้สำเร็จเมื่อปี 2012 นั่นเอง
แม้ว่าจะถูกครหาจากแฟนบอลทีมอื่นๆ ว่า ‘ใช้เงินซื้อความสำเร็จ’ แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่านี่คือหนึ่งใน ‘ทีมที่ดีที่สุดในโลก’ ของวงการลูกหนังยุคปัจจุบัน ความสำเร็จมากมายของทีมก็ส่งผลให้ฐานแฟนบอลของทีมเพิ่มมากขึ้นและกลายเป็นทีมที่มีแฟนบอลมากที่สุดทีมหนึ่งของโลกเลยทีเดียว
แน่นอนว่าเชลซีคือทีมที่ประสบความสำเร็จสูงสุดเหนือทุกทีมในลอนดอนจนแฟนบอลของทีมได้แต่งวลีที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของทีมไปแล้วว่า ‘Pride of London’ ที่มีความหมายว่าความภูมิใจของลอนดอนนั่นเอง แต่กว่าที่พวกเขาจะฝ่าฟันมาจนถึงจุดนี้ได้ พวกเขามีจุดเริ่มต้นและความเป็นมาอย่างไร บทความนี้จะทำให้ ‘สาวกเชลซี’ ชาวไทยได้รู้จักสโมสรแห่งนี้มากยิ่งขึ้น
การก่อตั้งสโมสร

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1905 หรือปี พ.ศ. 2448 ณ. ห้องชั้นบนของผับเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน เมืองหลวงของประเทศอังกฤษ ซึ่งผับแห่งนี้มีชื่อว่า ‘เดอะ ไรซ์ซิ่ง ซัน’
ผับแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงข้ามถนนฟูแล่ม สถานที่แห่งนี้ได้ถูกจารึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรว่าคือที่ๆ เป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งของสโมสรฟุตบอลเชลซีอย่างแท้จริง
เหล่าบรรดาผู้ก่อตั้งที่อยู่ในวันนั้นได้แก่ เศรษฐีเจ้าของเฮนรีออกัสตัส ‘กุส เมียร์ส’ และ ‘โจเซฟ’ พี่ชายของเขา นอกจากนี้ยังมี ‘เฮนรี่ บอยเยอร์’ ผู้เป็นน้องเขยและ‘อัลเฟรด เจเนส’ พร้อมกับหลานชาย ‘เอ็ดวิน’ โดยทั้งหมดได้ร่วมกันก่อตั้งสโมสรขึ้นมาจากการประชุมในวันนั้น
หลังการก่อตั้งสโมสร ต่อมาพวกเขาได้ทำการปรับเปลี่ยนสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ ซึ่งเดิมทีแล้วเป็นสนามกรีฑาให้กลายมาเป็นสนามฟุตบอลของทีมหรือสนามเหย้าของทีม โดยสนามแห่งนี้ไม่ได้ตั้งอยู่ในเขตของเชลซีแต่มันตั้งอยู่ตรงทางเชื่อมระหว่างฟูแล่มกับเชลซี
ด้วยเหตุผลนี้เองทำให้ช่วงเริ่มแรกที่ก่อตั้งสโมสรพวกเขาเคยเกือบใช้ชื่อทีมว่า ‘ฟูแล่ม’ มาแล้ว แต่ชื่อนี้ได้ถูกใช้ไปก่อนแล้วทำให้ชื่อนี้ถูกตัดทิ้งไปโดยปริยาย โดยพวกเขาเปลี่ยนชื่อทีมอยู่หลายครั้งไล่ตั้งแต่ ‘เคนชิงตัน เอฟซี’ ‘สแตมฟอร์ด บริดจ์ เอฟซี’ และ ‘ลอนดอน เอฟซี’ ก่อนสุดท้ายจะลงเอยด้วยการใช้ชื่อ ‘เชลซี ฟุตบอลคลับ’ หรือ ‘เชลซี เอฟซี’ ซึ่งเป็นชื่อทีมที่ใช้มาจนถึงปัจจุบันนั่นเอง
ในส่วนของฉายาของทีมที่แฟนบอลเชลซีชาวต่างชาตินั้นเรียกกันนั่นก็คือ ‘เดอะ บลูส์’ ในขณะที่ฉายาสำหรับแฟนบอลชาวไทยที่มักนิยมเรียกกันมีดังนี้ ‘สิงโตน้ำเงินคราม’, ‘สิงห์บลู’ และ ‘สิงห์สำอาง’

สำหรับเกมแรกอย่างเป็นทางการของสโมสรคือเกมที่เชลซีบุกไปพ่ายสต็อกพอร์ต 1-0 เมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ.1905 แม้ว่าจะเปิดตัวได้ไม่สวยหรูนัก แต่นี้นับเป็นก้าวแรกแห่งประวัติศาสตร์ของสโมสรอย่างแท้จริง
ต่อมาเชลซีได้เป็นที่รู้จักมากขึ้นสำหรับแฟนบอลในยุคนั้นหลังจากก่อตั้งสโมสรได้เพียง 2 ปีพวกเขาก็สามารถขึ้นมาเล่นในลีกดิวิชั่น 1 ซึ่งเป็นลีกสูงสุดของประเทศเทียบเท่ากับพรีเมียร์ลีกในปัจจุบัน
การเข้าชิงฟุตบอล ‘เอฟเอ คัพ’ รายการฟุตบอลที่เก่าแก่ที่สุดของอังกฤษเมื่อปี 1915 ได้สร้างชื่อให้กับเชลซีอีกครั้ง แม้ว่าในท้ายที่สุดพวกเขาก็ต้องอกหักได้เป็นเพียงแค่พระรองในวันนั้น แต่พวกเขายังทำงานอย่างหนักและพัฒนาทีมให้ดีขึ้นอยู่เสมอ
การซื้อนักเตะเข้ามาเสริมทัพอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดพัฒนาทีมทำให้ในที่สุดพวกเขาก็สร้างประวัติศาสตร์สโมสรได้สำเร็จด้วยการคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 (พรีเมียร์ลีกในปัจจุบัน) ได้ในฤดูกาล 1954-1955 และนี่ถือเป็นก้าวแรกแห่งความสำเร็จของสโมสร

นับตั้งแต่การก่อตั้งสโมสรมาจนถึงช่วงต้นค.ศ. 2000 เชลซียังถูกมองว่าคือทีมระดับกลางตารางเท่านั้น จริงอยู่ที่เชลซีเคยคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศมาแล้วแต่พวกเขาก็เคยตกชั้นลงไปเล่นในลีกรองของประเทศมาแล้ว อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ฝ่าฟันจนสามารถกลับขึ้นมาเล่นในลีกสูงสุดได้อีกครั้ง
ผลงานการเล่นนับตั้งแต่เปลี่ยนจากดิวิชั่น 1 มาเป็นพรีเมียร์ลีกส่วนใหญ่ก็จบฤดูกาลได้เพียงแค่กลางตารางเท่านั้นแม้ว่าในช่วงปลายยุค 90 จะสามารถคว้าแชมป์ในระดับทวีปมาครองได้ถึงสองสมัย อย่างไรก็ตามแฟนบอลส่วนใหญ่ก็ยังมองว่าพวกเขายังไม่ใช่ทีมใหญ่อยู่ดี
จนกระทั่งการเข้ามาของ ‘เสี่ยหมี’ เมื่อปี 2003 ได้ช่วยยกระดับให้เชลซีกลายเป็นทีมระดับบิ๊กได้สำเร็จ การทุ่มเงินซื้อซุปเปอร์สตาร์และการจ้างโค้ชชื่อดังเข้ามาทำทีม ทำให้เชลซีเดินหน้าคว้าแชมป์ได้อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
สิงโตน้ำเงินครามกลายเป็นทีมระดับท็อปของลีก พวกเขาคว้าแชมป์ได้เกือบทุกฤดูกาลที่ลงแข่งขันทั้งแชมป์พรีเมียร์ลีกรวมไปถึงบอลถ้วยรายการต่างๆ ภายในประเทศและเป้าหมายสูงสุดก็คือถ้วย บิ๊กเอียร์ หรือแชมป์ ยูฟ่าแชมป์เปี้ยน ลีก ซึ่งเชลซีทำได้สำเร็จในปี 2012 ด้วยการหักปากกาเซียนเขี่ยบาร์เซโลน่าตกรอบรองชนะเลิศและสร้างเซอร์ไพรส์อีกครั้งในนัดชิงชนะเลิศที่อัลลิอันท์ อารีน่ากับเสือใต้

ในรอบชิงชนะเลิศเชลซีตกเป็นรองในทุกรูปแบบทั้งขุมกำลังนักเตะรวมไปถึงการได้เล่นในถิ่นตัวเองของเสือใต้ แต่อย่างไรก็ตาม บาเยิร์น มิวนิคกลับไม่สามารถเอาชนะเชลซีได้ในช่วง 120 นาทีก่อนจบการแข่งขันที่สกอร์ 1-1 และในท้ายที่สุดก็เป็นเชลซีที่เอาชนะบาเยิร์นในการดวลจุดโทษได้สำเร็จ คว้าแชมป์มาครองได้แบบพลิกความคาดหมายของแฟนบอลทั่วโลก
แม้ว่าจะมีบางช่วงที่ฟอร์มการเล่นของทีมตกลงไปอย่างน่าใจหาย มีปัญหาต่างๆ มากมายเกิดขึ้นกับสโมสร การเปลี่ยนผู้จัดการทีมเกือบจะทุกฤดูกาล แต่ก็ต้องยอมรับว่าการเข้ามาของเสี่ยหมีชายผู้เป็นที่รักของสาวกเชลซีได้ช่วยยกระดับให้สิงห์สำอางกลายเป็นหนึ่งในยอดทีมชั้นนำของโลกลูกหนังยุคปัจจุบันไปแล้ว
ประวัติสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์

ชื่อสนาม: สแตมป์ฟอร์ด บริดจ์ (Stamford Bridge)
ที่อยู่: Stamford Bridge, Fulham Road, London, SW6 1HS
ความจุของสนาม: 41,629 คน
ขนาดของสนาม: 103 x 67 เมตร
สถิติผู้ชมสูงสุด: พบกับ อาร์เซนอล 12 ตุลาคม 1958 จำนวน 182,905 คน
สถิติผู้ชมน้อยที่สุด: พบกับ ลินคอล์น ซิตี้ 17 กุมภาพันธ์ 1960 จำนวน 110 คน

ประวัติสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ หรือ สแตนด์ฟอร์ด ครีก (Stanford Creek) ซึ่งเป็นชื่อดั้งเดิมของสนามแห่งนี้ในช่วงยุคเริ่มต้น โดยนี่เป็นสนามที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของอังกฤษ ภายหลังได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น สแตมป์ฟอร์ด บริดจ์ และใช้ยาวมาจนถึงปัจจุบัน
สนามแห่งนี้และไม่ได้ตั้งอยู่ในเขตชุมชนของเชลซีแต่ตั้งอยู่ในเขตฟูแล่ม โดยได้มีการเปิดใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 เมษายน ค.ศ.1877 ซึ่งในช่วง 27 ปีแรกมันถูกใช้เป็นสนามกรีฑาและต่อมาได้กลายมาเป็นสนามฟุตบอลอย่างเต็มตัวหลังจากการก่อตั้งสโมสรเชลซีนั้นเอง
โดยในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (ค.ศ. 1920-1922) สนามแห่งนี้เคยถูกปิดชั่วคราว เนื่องจากรัฐบาลเกรงว่าศัตรูจะใช้สนามแห่งนี้เป็นที่กบดาล ทำให้สนามแห่งนี้ถูกกองกำลังอังกฤษจับตามองมากเป็นพิเศษในช่วงนั้น

สแตมป์ฟอร์ด บริดจ์ได้มีการปรับปรุงอยู่หลายครั้ง โดยในช่วงแรกสนามแห่งนี้มีหลังคาไว้สำหรับกันฝนหรือแดดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้แฟนเชลซีในยุคนั้นเรียกมันว่า ‘The Shed’ โดยมีที่มาจากคำว่า ‘Shadow’ ที่มีความหมายว่า ‘เงา’ นั่นเอง
ลักษณะของอัฒจรรย์ฝั่ง The Shed จะเป็นพื้นที่ราบเป็นขั้นบันไดขึ้นไปเพื่อให้แฟนบอลได้นั่งดูบอลและเป็นส่วนเดียวของสนามที่มีหลังคาในช่วงแรกซึ่งมันถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1930
ต่อมา The Shed ต้องถูกรื้อและปรับปรุงใหม่ให้แข็งแรงมาขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฎกรรมเหมือนที่ Hillsborough เหตุการณ์ที่สนามถล่มลงมาและส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากมายในวันนั้น หลังจากการปรับปรุงได้มีการย้าย The Shed ย้ายไปไว้ทางทิศใต้และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Shed End เพื่อเป็นที่ระลึกให้กับ The Shed นั่นเอง
หลังจาการปรับปรุงสนามครั้งนั้น ที่นั่งฝั่ง East Stand จึงได้ถูกสร้างขึ้นและมันก็เป็นจุดเริ่มต้นของสโมสรที่ต้องการทำสนามให้ยิ่งใหญ่มากขึ้น ทำให้ที่นั่งฝั่ง East Stand มีประวัติยาวนานที่สุดในบรรดาที่นั่งทั้ง 4 ทิศของสนาม

สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์แบ่งออกเป็น 4 โซนดังนี้
- ฝั่ง East Stand หรือที่แฟนๆเรียกกันว่า The Shed ที่นั่งฝั่งนี้ถูกปรับเปลี่ยนมาแล้ว ถึง 2 ครั้งทำให้ดูแข็งแรงมากขึ้น โดยมีการปรับปรุงครั้งแรกในสมัยกุนซือ เท็ด เดร็ค และปรับปรุงครั้งที่ 2 ในช่วงของกุนซือ เอ็ดดี้ แม็คเครดี้ เป็นฝั่งที่นั่งที่เก่าแก่มากที่สุดของสนาม โดยมีความจุอยู่ที่ 10,925 ที่นั่ง
- ต่อมาในปีค.ศ. 1964-65 ที่นั่งฝั่ง West Stand ก็ได้ถูกสร้างขึ้น และมีฉายาว่า The Bench โดยที่นั่งฝั่งนี้ถูกรื้อและสร้างใหม่เป็น The Current West Stand และมีความจุอยู่ที่ 13,500 ที่นั่ง
- ที่นั่งฝั่ง North Stand หรือฉายาว่า The Matthew Harding Stand สร้างเสร็จในปี ค.ศ.1990 โดยที่มาของฉายาก็เพื่อเป็นเกียรติกับ Matthew Harding ซึ่งเป็นผู้สร้างแปลนที่นั่งฝั่งเหนือให้เชลซี หลังจากที่เขาเสียชีวิตเนื่องจากประสบอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกเมื่อวันที่ 22 ต.ค 1996 โดยมีความจุอยู่ที่ 10,884 ที่นั่ง
- ที่นั่งฝั่ง South Stand หรือฉายาที่แฟนๆเรียกคือ Shed End ที่นั่งพี่น้องของ The Shed อีกหนึ่งในความภาคภูมิใจของเชลซีเพราะเป็นจุดที่สโมสรต้องการให้ระลึกถึงอดีต โดยมีความจุฝั่งนี้จะน้อยที่สุดอยู่ที่ 7,814 ที่นั่ง และทางสโมสรไม่ได้ต้องการที่จะขยายเพิ่มเติมเพราะต้องการให้เหลือโครงเดิมเหมือนในอดีตเอาไว้ปัจจุบันสนามสแตมป์ฟอร์ด บริดจ์ ได้ถูกปรับปรุงและพัฒนาจนทำให้แทบไม่เหลือเค้าโครงเดิมและถูกจัดเป็นสนามที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในอังกฤษ

ชื่อเสียงของทีมที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ฐานแฟนบอลเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ทำให้เสี่ยหมีรวมไปถึงเหล่าผู้บริหารวางแผนที่จะปรับปรุงสนามใหม่อีกครั้งเพื่อรองรับแฟนบอลที่เพิ่มมากขึ้นและให้เหมาะสมกับความเป็นทีมระดับท็อปอีกด้วย
เชลซีคือสโมสรที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน พวกเขาฝ่าฟันและผ่านปัญหาอุปสสรรคมามากมายกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ หวังว่าแฟนๆที่ได้อ่าน ประวัติความเป็นมาทีมเชลซี รวไปถึงประวัติสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ที่เราได้นำเสนอเพื่อให้ สาวกเชลซี ได้อ่านจะมีความสุขและรักในสโมสรแห่งนี้มากขึ้น
บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่ : chelsea-th.com
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : chelsea-th