ลักษณะของอัฒจรรย์ฝั่ง The Shed จะเป็นพื้นที่ราบเป็นขั้นบันไดขึ้นไปเพื่อให้แฟนบอลได้นั่งดูบอลและเป็นส่วนเดียวของสนามที่มีหลังคาในช่วงแรกซึ่งมันถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1930
ต่อมา The Shed ต้องถูกรื้อและปรับปรุงใหม่ให้แข็งแรงมาขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฎกรรมเหมือนที่ Hillsborough เหตุการณ์ที่สนามถล่มลงมาและส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากมายในวันนั้น หลังจากการปรับปรุงได้มีการย้าย The Shed ย้ายไปไว้ทางทิศใต้และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Shed End เพื่อเป็นที่ระลึกให้กับ The Shed นั่นเอง
หลังจาการปรับปรุงสนามครั้งนั้น ที่นั่งฝั่ง East Stand จึงได้ถูกสร้างขึ้นและมันก็เป็นจุดเริ่มต้นของสโมสรที่ต้องการทำสนามให้ยิ่งใหญ่มากขึ้น ทำให้ที่นั่งฝั่ง East Stand มีประวัติยาวนานที่สุดในบรรดาที่นั่งทั้ง 4 ทิศของสนาม
สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์แบ่งออกเป็น 4 โซนดังนี้
ฝั่ง East Stand หรือที่แฟนๆเรียกกันว่า The Shed ที่นั่งฝั่งนี้ถูกปรับเปลี่ยนมาแล้ว ถึง 2 ครั้งทำให้ดูแข็งแรงมากขึ้น โดยมีการปรับปรุงครั้งแรกในสมัยกุนซือ เท็ด เดร็ค และปรับปรุงครั้งที่ 2 ในช่วงของกุนซือ เอ็ดดี้ แม็คเครดี้ เป็นฝั่งที่นั่งที่เก่าแก่มากที่สุดของสนาม โดยมีความจุอยู่ที่ 10,925 ที่นั่ง
ต่อมาในปีค.ศ. 1964-65 ที่นั่งฝั่ง West Stand ก็ได้ถูกสร้างขึ้น และมีฉายาว่า The Bench โดยที่นั่งฝั่งนี้ถูกรื้อและสร้างใหม่เป็น The Current West Stand และมีความจุอยู่ที่ 13,500 ที่นั่ง
ที่นั่งฝั่ง North Stand หรือฉายาว่า The Matthew Harding Stand สร้างเสร็จในปี ค.ศ.1990 โดยที่มาของฉายาก็เพื่อเป็นเกียรติกับ Matthew Harding ซึ่งเป็นผู้สร้างแปลนที่นั่งฝั่งเหนือให้เชลซี หลังจากที่เขาเสียชีวิตเนื่องจากประสบอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกเมื่อวันที่ 22 ต.ค 1996 โดยมีความจุอยู่ที่ 10,884 ที่นั่ง
ที่นั่งฝั่ง South Stand หรือฉายาที่แฟนๆเรียกคือ Shed End ที่นั่งพี่น้องของ The Shed อีกหนึ่งในความภาคภูมิใจของเชลซีเพราะเป็นจุดที่สโมสรต้องการให้ระลึกถึงอดีต โดยมีความจุฝั่งนี้จะน้อยที่สุดอยู่ที่ 7,814 ที่นั่ง และทางสโมสรไม่ได้ต้องการที่จะขยายเพิ่มเติมเพราะต้องการให้เหลือโครงเดิมเหมือนในอดีตเอาไว้ปัจจุบันสนามสแตมป์ฟอร์ด บริดจ์ ได้ถูกปรับปรุงและพัฒนาจนทำให้แทบไม่เหลือเค้าโครงเดิมและถูกจัดเป็นสนามที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในอังกฤษ